1911 The Men Behind Nivea : BEIERSDORF, TROPLOWITZ and UNNA
ดร. Oscar Troplowitz เข้ารับช่วงดูแลบริษัท Beiersdorf ในเมืองแฮมเบิร์ก ประเทศเยอรมันต่อจากผู้ก่อตั้ง Paul C. Beiersdorf ในปีคศ. 1890 ก่อนที่จะมีการคิดค้น NIVEA Creme ขึ้นมา Troplowitz ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากในการพัฒนาและผลิตเทปกาว technical adhesive tapes รวมถึง the first พลาสเตอร์ปิดแผลที่ใช้ในทางการแพทย์ และแผ่นยาง first adhesive rubber โดยมีที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์คือ ศจ. Paul Gerson Unna ผู้มีทัศนวิสัยที่แม่นยำในด้านการพัฒนาและ progress และเป็นผู้หนึ่งที่แนะนำให้ดร. Troplowitz ลองทำการคิดค้นยูเซอริท ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของ NIVEA Creme นั่นเอง
1911 Innovation Eucerit : INNOVATION HIGHLIGHT EUCERIT
NIVEA Creme “ถือกำเนิด” ขึ้นในปีคศ. 1911 โดยเป็นผลงานการค้นคว้าและพัฒนาที่สืบเนื่องมาจากผลิตภัณฑ์ “ยูเซอริท” หลังจากการค้นคว้าวิจัยเป็นเวลาหลายทศวรรษ ดร. Isaac Lifschütz ได้ค้นพบส่วนผสมแบบใหม่ที่สามารถผสมสารสกัดไขมันและน้ำเข้าด้วยกันได้ และด้วยความพยายามสร้างสรรค์ของ ดร. Oscar Troplowitz แห่งบริษัทBeiersdorf ที่ทดลองนำยูเซอริทที่เดิมใช้เฉพาะในวงการแพทย์มาใช้เป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิว ทำให้ได้ครีมรูปแบบใหม่นั่นคือ NIVEA Creme
เดือนธันวาคมปี 1911 หลังจากการค้นพบนวัตกรรมใหม่นี้ไม่นานนัก NIVEA Creme ได้อวดโฉมสู่ท้องตลาดภายใต้บรรจุภัณฑ์แบบตลับสีเหลือง ตกแต่งด้วยเส้นลายโค้งสีเขียวน่ารักสะท้อนถึงความนิยมด้านศิลปะแบบ Art Nouveau (ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง ‘ศิลปะใหม่’) ของยุคนั้น ซึ่งจะยึดรูปแบบที่อ่อนช้อยของวัสดุธรรมชาติ เช่น เถาวัลย์หรือใบไม้เป็นหลัก ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องมีการตั้งชื่อภาษาลาตินให้กับเวชภัณฑ์ต่างๆ ดร. Troplowitz จึงเรียกครีมสีขาวบริสุทธิ์ของเขาว่า “NIVEA” โดยมีที่มาจากคำคุณศัพท์ภาษาลาตินว่า “niveus/ nivea/ niveum” ซึ่งหมายถึง ขาวดุจหิมะนั่นเอง NIVEA Creme เป็นผลิตภัณฑ์หลักของ NIVEA และมีการปรับเปลี่ยนส่วนผสมเล็กน้อยนับจากการผลิตครั้งแรก
บริษัท Beiersdorf เริ่มก่อตั้งขึ้นราวๆ ต้นทศวรรษ 19’s ณ กรุงแฮมเบิร์ก (ประเทศเยอรมนี) ซึ่งบริษัทดังกล่าว
ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนีเวียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรมใหม่อื่นๆ
เช่นเทปกาว พลาสเตอร์ปิดแผล และพลาสเตอร์ยางเป็นครั้งแรกด้วยในปี 1914
บริษัทได้ทำธุรกิจร่วมกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 34 ประเทศ ซึ่งทำให้มียอดขายสูงถึง 42% ในต่างประเทศ
1920 First hair care : HAIR MILK
ในยุค 20’s และ 30’s นีเวียได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์โดยเพิ่มให้มีผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะขึ้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มใหม่นี้ก็คือ NIVEA Hair Milk ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูแลรักษาเส้นผมแบบเดียวกับครีมนีเวียที่ใช้สำหรับดูแลผิวพรรณ แผ่นโปสเตอร์โฆษณาและบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์นีเวียไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมแฮร์มิลค์, แป้ง, แชมพูและครีม ออกแบบขึ้นตามแบบแนวคิดศิลปะใหม่ (Art Nouveau) ที่ให้ความรู้สึกแบบเต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการโดยแสดงออกถึงรูปแบบการประดับตกแต่งและการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติและดอกไม้
1922 First shaving soap : THE MEN’S CARE ROUTINEในปี 1922 นีเวียได้พัฒนาผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับผู้ชายขึ้นเป็นครั้งแรก ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็คือ สบู่สำหรับการโกนหนวดของนีเวียซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรก เริ่มก่อนที่จะมีโฟมและเจลสำหรับโกนหนวดออกมา โดยออกแบบมาให้ใช้ควบคู่กับ NIVEA Crème ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลังการโกนหนวดซึ่งถือเป็น ขั้นตอนแรกในการดูแลผิวประจำวันสำหรับผู้ชาย
1924 Blue & White : NIVEA GETS BLUE AND WHITE 
ในปี 1924 ได้มีการพัฒนารูปแบบโฆษณาของนีเวียใหม่ทั้งหมด ผู้คนในยุโรปในยุค 20’s ต่างโหยหาความมีชีวิตชีวา พวกเขาต้องการรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงได้มีการเปิดตัวครั้งใหม่ของผลิตภัณฑ์ NIVEA ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากผู้คนเป็นอย่างมากอยู่แล้ว มาพร้อมกับการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นด้านบรรจุภัณฑ์หรือโฆษณา และในขณะเดียวกันสีขาวและสีน้ำเงินก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำของแบรนด์ในที่สุดภาพโฆษณาต่างๆ แทนที่จะนำเสนอภาพหญิงสาวผู้สง่างามที่อยู่แต่ภายในห้องนอนของเธอ เปลี่ยนไปเป็นภาพของหญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางแสงแดดโดยถือเป็นธีมหลักของโฆษณาการออกแบบตลับผลิตภัณฑ์โดยใช้ศิลปะใหม่ (Art Nouveau) ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการทำให้รูปแบบตลับผลิตภัณฑ์แลดูมีความเรียบง่ายและกะทัดรัดมากขึ้น ฝาตลับสีน้ำเงินที่มีโลโก้ NIVEA สีขาวได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 1925 และไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตามแต่ตลับผลิตภัณฑ์ NIVEA Crème ที่ออกแบบมาให้มีรูปแบบและสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครก็ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิกอยู่ตลอดกาล
1926 Nivea creme 1926
สำหรับชาวเอเชียแล้วผิวพรรณที่ขาวเนียน มักเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมจากผู้คนมากกว่า ซึ่งจะต่างกันกับแวดวงความงามของโลกตะวันตก ซึ่งกระแสความนิยมจะเน้นไปที่ความชื่นชอบในผิวสีแทน ดังนั้น นีเวียจึงได้ผลิตครีมไวท์เท็นนิ่งออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้ใช้ในประเทศญี่ปุ่น
1931 The Company is growing : BEIERSDORF IS EXPANDING WORLDWIDE
1931 Nivea Creme 1931
ในปี 1931 นีเวียได้สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ NIVEA Creme ด้วยการระบุข้อความที่ตลับผลิตภัณฑ์ว่า “ผลิตภัณฑ์สำหรับกิจกรรมภายในบ้านและเล่นกีฬา” การระบุเช่นนี้ทำให้นีเวียกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบที่สามารถใช้ได้สำหรับทุกกิจกรรมของครอบครัว
1931 Hair Care & Styling : CARE AND STYLING RANGE FOR THE HAIR
นีเวียได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับช่างทำผม ตลอดจนผลิตภัณฑ์สำหรับเภสัชกรและแพทย์ ปรุงยานับตั้งแต่กลางยุค 20’s เป็นต้นมาสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของนีเวียนั้น เริ่มมีจำหน่ายมาตั้งแต่ในยุค 20’s แล้ว และต่อมาได้เพิ่มแชมพูและผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมชุดแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จัดแต่งให้ผมอยู่ทรงของนีเวีย และผลิตภัณฑ์เพิ่มความเงางามให้กับเส้นผมของนีเวียไว้ด้วย
NIVEA Creme ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้หลากหลายความต้องการ ตลอดมา โดยสามารถนำมาใช้ได้ทุกความต้องการและทุกสถานการณ์ NIVEA Creme จะช่วยดูแลผิวให้ปราศจากความแห้งกร้านได้ ในทุกสภาพอากาศ รวมถึงช่วยปกป้องความชุ่มชื้นของผิวเด็กและทารก ปรับสภาพเส้นหนวดของผู้ชายให้อ่อนนุ่มลงก่อนการโกนหนวด และอื่นๆ อีกมากมายในยุค 30’s การโฆษณาจะเน้นความสำคัญไปที่ข้อดีและส่วนต่างๆ บนร่างกายที่สามารถใช้ครีมนีเวียทาลงไปได้
1935 NIVEA Creme 1935
1943 NIVEA Creme 1943 
ในระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัท Beiersdorf ของเยอรมนีได้สูญเสียสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าของ NIVEA ในหลายประเทศด้วยกันจากนั้น การพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์และการทำโฆษณา ได้ตกไปอยู่ในการควบคุมของเจ้าของในประเทศนั้นๆ เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม Beiersdorf ได้พยายามซื้อสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าดังกล่าว กลับคืนมา และในที่สุดก็สามารถซื้อสิทธิ์ทั้งหมดกลับมาได้ อีกครั้งในปี 1990’s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น